วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กระเพราแดง มีคุณค่าทางสมุนไพรอย่างไร


เชื่อกันว่ากระเพราแดง เป็นสมุนไพรที่มีความสามารถในการช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้กระเพราแดง ยังมีความสามารถในการช่วยให้ กระเพาะอาหาร และลำไส้ของเรา ทำงานได้เป็นปรกติ

คุณค่าทางโภชนาการที่เราจะได้รับ จากการรับประทานกระเพราแดง ในปริมาณ 100 กรัม
1.       จะได้รับปริมาณของพลังงานไม่น้อยกว่า  41 กิโลแคลอรี
2.       จะได้รับปริมาณของคาร์โบไฮเดรทไม่น้อยกว่า  4.8 กรัม
3.       จะได้รับปริมาณของโปรตีนไม่น้อยกว่า  4.2 กรัม
4.       จะได้รับปริมาณของไขมันไม่น้อยกว่า  0.5 กรัม
5.       จะได้รับปริมาณของเส้นใยอาหารหรือกากใยอาหารไม่น้อยกว่า  1.3 กรัม
6.       จะได้รับปริมาณของวิตามินเอไม่น้อยกว่า  13,222 หน่วย
7.       จะได้รับปริมาณของวิตามินซีไม่น้อยกว่า  25 มิลลิกรัม
8.       จะได้รับปริมาณของวิตามินบี 1 ไม่น้อยกว่า  0.04 มิลลิกรัม
9.       จะได้รับปริมาณของวิตามินบี 2 ไม่น้อยกว่า  0.34 มิลลิกรัม
10.    จะได้รับปริมาณของธาตุเหล็กไม่น้อยกว่า  15.1 มิลลิกรัม
11.    จะได้รับปริมาณของแคลเซียมไม่น้อยกว่า  25 มิลลิกรัม
12.    จะได้รับปริมาณของฟอสฟอรัสไม่น้อยกว่า  287 มิลลิกรัม

จะเห็นได้ว่าคุณค่าทางโภชนาการของ กระเพราแดงนั้นมีอยู่มากมาย ดังนั้นในการปรุงอาหารแต่ละมื้อไม่ควรมองข้ามใบกระเพราแดง เพราะกระเพราแดงนั้น สามารถนำมาเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารได้หลายอย่าง เช่น ต้มยำ โป๊ะแตก แกงเผ็ด แกงป่า ผัดขี้เมา ฯลฯ

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บัวบกมีคุณค่าทางสมุนไพรอย่างไร


บัวบกเป็นพืชสมุนไพรไทย ที่มีสรรพคุณทางยาสามารถ ช่วยป้องกัน และช่วยแก้อาการเจ็บคอ ทำให้รู้สึกสดชื่น บัวบกยังมีสรรพคุณ ช่วยลดความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ บัวบกยังมีความสามารถ ในการแก้อาการช้ำใน ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

การรับประทานบัวบก ในปริมาณ 100 กรัมจะได้รับคุณค่าทางโภชนาการ ดังต่อไปนี้
1.       จะได้รับปริมาณของพลังงานไม่น้อยกว่า 44 กิโลแคลอรี
2.       จะได้รับปริมาณของโปรตีนไม่น้อยกว่า 1.8 กรัม
3.       จะได้รับปริมาณของคาร์โบไฮเดรทไม่น้อยกว่า 7.1 กรัม
4.       จะได้รับปริมาณของไขมันไม่น้อยกว่า  0.9 กรัม
5.       จะได้รับปริมาณของเส้นใยอาหารหรือกากใยอาหารไม่น้อยกว่า  2.6 กรัม
6.       จะได้รับปริมาณของวิตามินเอไม่น้อยกว่า  10,962 หน่วย
7.       จะได้รับปริมาณของวิตามินซีไม่น้อยกว่า  4 มิลลิกรัม
8.       จะได้รับปริมาณของธาตุเหล็กไม่น้อยกว่า  3.9 มิลลิกรัม
9.       จะได้รับปริมาณของแคลเซียมไม่น้อยกว่า  146 มิลลิกรัม
10.    จะได้รับปริมาณของฟอสฟอรัสไม่น้อยกว่า 30 มิลลิกรัม
11.    จะได้รับปริมาณของไลโบฟลาวินไม่น้อยกว่า 0.09 มิลลิกรัม
12.    จะได้รับปริมาณของไธอะมีนไม่น้อยกว่า  0.24 มิลลิกรัม
13.    จะได้รับปริมาณของไนอะซีนไม่น้อยกว่า  0.8 มิลลิกรัม

บัวบก สามารถรับประทานทั้งก้านและใบ ซึ่งสามารถรับประทานร่วมกับอาหารคาว เช่น น้ำพริก ลาบ ก้อย ฯลฯ ได้อย่างเหมาะสมแล้ว บัวบกยังสามารถนำมาทำเป็นน้ำบัวบก ดื่มเพื่อดับกระหายได้เป็นอย่างดี

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข่ามีคุณค่าทางสมุนไพรอย่างไร

ข่า นับได้ว่าเป็นพืชสมุนไพรไทย ที่มีสรรพคุณทางยา ช่วยในการขับแก๊สหรือของเสียออกจากร่างกายของเรา ช่วยขับลม แก้ปัญหาเกี่ยวกับท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว ได้เป็นอย่างดี

ข่านอกจากจะใช้เป็นเครื่องปรุ่งในการประกอบอาหาร หรือนำต้นอ่อนๆ ของข่ามาต้มจิ้มน้ำพริกแล้ว ข่ายังสามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่ม น้ำข่า ใช้ดื่มแก้กระหาย และเป็นยาขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ได้อีกด้วย

ในการรับประทานข่า ในปริมาณ 100 กรัม คุณจะได้รับคุณค่าทางโภชนาการดังต่อไปนี้
1.       จะได้รับปริมาณของพลังงานไม่น้อยกว่า  83 กิโลแคลอรี่
2.       จะได้รับปริมาณของคาร์โบไฮเดรตไม่น้อยกว่า  19 กรัม
3.       จะได้รับปริมาณของโปรตีนไม่น้อยกว่า  1 กรัม
4.       จะได้รับปริมาณของไขมันไม่น้อยกว่า 0.3 กรัม
5.       จะได้รับปริมาณของเส้นใยอาหารหรือกากใยอาหารไม่น้อยกว่า 3.1 กรัม
6.       จะได้รับปริมาณของวิตามินเอไม่น้อยกว่า 58 หน่วย
7.       จะได้รับปริมาณของวิตามินซีไม่น้อยกว่า 1 มิลลิกรัม
8.       จะได้รับปริมาณของแคลเซียมไม่น้อยกว่า  18 มิลลิกรัม
9.       จะได้รับปริมาณของธาตุเหล็กไม่น้อยกว่า  2.2 มิลลิกรัม
10.    จะได้รับปริมาณของไลโบฟลาวินไม่น้อยกว่า 0.02 มิลลิกรัม
11.    จะได้รับปริมาณของไธอะมีนไม่น้อยกว่า  0.02 มิลลิกรัม
12.    จะได้รับปริมาณของไนอะซีนไม่น้อยกว่า 1 มิลลิกรัม

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แครอทมีคุณค่าทางสมุนไพรอย่างไร


แครอท นับได้ว่าเป็นพืชเมืองหนาว ที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง และที่สำคัญแครอท ยังมีคุณค่าทางสมุนไพรอีกด้วย ซึ่งแครอท เป็นพืชที่มีสรรพคุณทางยา ช่วยในการยับยั้งและช่วยป้องกันการเป็นโรคมะเร็ง เพราะแครอท จะอุดมไปด้วยสารเบต้าคาโรทีน โดยสารดังกล่าวจะมีส่วนช่วยในการยับยั้งเซลล์ของโรคมะเร็งได้ เป็นอย่างดีนั่นเอง

คุณค่าทางโภชนาการที่เราจะได้รับจากการรับประทานแครอท ในปริมาณ 100 กรัม
1.       จะได้รับพลังงานไม่น้อยกว่า  37 กิโลแคลอรี่
2.       จะได้รับปริมาณของคาร์โบไฮเดรทไม่น้อยกว่า  6.8 กรัม
3.       จะได้รับปริมาณของโปรตีนไม่น้อยกว่า 1.6 กรัม
4.       จะได้รับปริมาณของไขมันไม่น้อยกว่า 0.4 กรัม
5.       จะได้รับปริมาณของเส้นใยอาหารหรือกากใยอาหารไม่น้อยกว่า 1 กรัม
6.       จะได้รับปริมาณของธาตุเหล็กไม่น้อยกว่า  1.2 มิลลิกรัม
7.       จะได้รับปริมาณของแคลเซียมไม่น้อยกว่า 1 มิลลิกรัม
8.       จะได้รับปริมาณของฟอสฟอรัสไม่น้อยกว่า  68 มิลลิกรัม
9.       จะได้รับปริมาณของวิตามินซีไม่น้อยกว่า  41 มิลลิกรัม
10.    จะได้รับปริมาณของเบต้าคาโรทีนไม่น้อยกว่า  6,994 ไมโครกรัม
11.    จะได้รับปริมาณของไนอะซีนไม่น้อยกว่า 0.8 มิลลิกรัม
12.    จะได้รับปริมาณของไธอะมีนไม่น้อยกว่า 0.04 มิลลิกรัม
13.    จะได้รับปริมาณของไลโบฟลาวินไม่น้อยกว่า 0.05 มิลลิกรัม

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คุณค่าทางโภชนาการทางสมุนไพรของถั่วเขียว

ถั่วเขียว นับเป็นพืชสมุนไพรอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งคุณค่าทางสมุนไพรของถั่วเขียวจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ เป็นสมุนไพรแก้อาการร้อนใน นอกจากนี้ถั่วเขียว ยังป้องกันการเป็นแผลที่ปากจากอาการร้อนในได้เป็นอย่างดี และจากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับถั่วเขียว ยังพบว่า ถั่วเขียวนั้น มีความสามารถในการแก้อาการเจ็บคอ อันเนื่องมาจาก หวัดลงคอ

คุณค่าทางโภชนาการที่จะได้รับจากการรับประทานถั่วเขียวในสัดส่วน 100 กรัม
1.       จะได้รับพลังงานไม่น้อยกว่า 328 กิโลแคลอรี่
2.       จะได้รับปริมาณของโปรตีนไม่น้อยกว่า 23.4 กรัม
3.       จะได้รับปริมาณของคาร์โบไฮเดรตไม่น้อยกว่า 55.9 กรัม
4.       จะได้รับปริมาณของไขมันไม่น้อยกว่า 1.3 กรัม
5.       จะได้รับปริมาณของกากใยอาหารหรือเส้นใยอาหารไม่น้อยกว่า 4.3 กรัม
6.       จะได้รับปริมาณของฟอสฟอรัสไม่น้อยกว่า 340 ไมโครกรัม
7.       จะได้รับปริมาณของแคลเซียมไม่น้อยกว่า 125 ไมโครกรัม
8.       จะได้รับปริมาณของวิตามินเอ ไม่น้อยกว่า 80 หน่วย
9.       จะได้รับปริมาณของธาตุเหล็กไม่น้อยกว่า 5.2 มิลลิกรัม
10.    จะได้รับปริมาณของไลโบฟลาวินไม่น้อยกว่า 0.21 มิลลิกรัม
11.    จะได้รับปริมาณของไธอะมีนไม่น้อยกว่า 0.38 มิลลิกรัม
12.    จะได้รับปริมาณของไนอะะซีน ไม่น้อยกว่า 2.6 มิลลิกรัม

เมื่อเห็นถึงคุณค่าทางสมุนไพร และคุณค่าทางโภชนาการที่จะได้ จากการับประทานถั่วเขียวกันแล้ว เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวท่านเองก็อย่าลืมรับประทานถั่วเขียวกันมากๆ นะค่ะ โดยถั่วเขียวสามารถนำมาทำเป็นอาหารได้ทั้ง อาหารคาว และของหวานทานเล่น นอกจากนี้ยังสามารถนำถั่วเขียวมาทำเป็นเครื่องดื่มได้อีกด้วย วิธีการทำเครื่องดื่มน้ำถั่วเขียว ดูได้จากเว็บไซต์ : http://www.myrestaurantpal.com/Bio-Organic/Herbal-Drinks-Recipes/Green-Beans-Coffee.html

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มะนาวมีคุณค่าทางสมุนไพรอย่างไร ?


เป็นที่รู้กันดีว่า มะนาว เป็นสมุนไพรไทย ที่มีการนำมาเป็นส่วนประกอบ ในการปรุงอาหาร เพื่อให้อาหารมีรสเปรี้ยว อร่อยกลมกล่อมยิ่งขึ้น และจากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรไทย พบว่า มะนาว เป็นสมุนไพร ที่มีสรรพคุณ สามารถช่วยบรรเทาอาการไอ ช่วยขับเสมหะ ช่วยในการขับลมขับแก๊สเสียออกจากร่างกาย ทำให้สามารถแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้เป็นอย่างดี

สำหรับคุณค่าทางโภชนาการของมะนาว ผู้ที่รับประทานมะนาว หรือใช้มะนาวในการปรุงอาหารแทนการใช้น้ำส้มสายชู จะทำให้ได้รับสารอาหารและแร่ธาตุตามที่ร่างกายของเราต้องการ โดยเฉพาะ มะนาวนั้น จะมีวิตามินซี มากเป็นพิเศษ จึงช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด หรือโรคเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดี

สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานรสเปรี้ยวแบบจัดจ้าน ขอแนะนำเมนู มะนาวจิ้มเกลือ รับรองได้เลยว่าเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดจนหัวสั่นหัวคอนแน่ นอกจากนี้ยังสามารถ นำมะนาวมาทำเป็นเครื่องดื่ม ดับกระหาย ได้อีกด้วย แถมได้คุณค่าทางสมุนไพรอย่างครบครัน ทั้งเป็นยาแก้อาการไอมีเสมหะ ช่วยลดเสมหะ ช่วยขับลม แก้ปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยวได้เป็นอย่างดี

เมื่อได้รู้ถึงคุณค่าทางสมุนไพรและคุณค่าทางโภชนาการ ของมะนาวกันแล้ว เวลาปรุงอาหารเมื่อต้องการรสเปรี้ยว ใช้มะนาว ดีกว่า ใช้น้ำส้มสายชูนะค่ะ

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตะไคร้มีคุณค่าทางสมุนไพรอย่างไรบ้าง ?

ตะไคร้ เป็นสมุนไพรไทย อีกชนิดหนึ่ง ที่เราใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร นอกจากตะไคร้จะใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารเพื่อให้ได้รสชาติ ที่อร่อยแล้ว ตะไคร้ยังมีสรรพคุณทางยาช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว จุดเสียด แน่นท้องได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้จากการศึกษาวิจัยยังพบว่า ตะไคร้มีส่วนช่วยในการขับเหงื่อ และขับปัสสาวะได้ดีอีกด้วย

คุณค่าทางโภชนาการที่จะได้รับจากการรับประทานตะไคร้ในปริมาณ 100 กรัม
1.       จะได้รับพลังงานในปริมาณ 126 กิโลแคลอรี่
2.       จะได้รับโปรตีนในปริมาณ  1.2 กรัม
3.       จะได้รับคาร์โบไฮเดรตในปริมาณ 25.5 กรัม
4.       จะได้รับไขมันในปริมาณ 2.1 กรัม
5.       จะได้รับเส้นใยอาหารหรือกากใยอาหารในปริมาณ 4.2 กรัม
6.       จะได้รับวิตามินเอในปริมาณ 427 มิลลิกรัม
7.       จะได้รับวิตามินซีในปริมาณ 1 มิลลิกรัม
8.       จะได้รับธาตุเหล็กในปริมาณ 2.6 มิลลิกรัม
9.       จะได้รับแคลเซียมในปริมาณ 35 มิลลิกรัม
10.    จะได้รับฟอสฟอรัสในปริมาณ 30 มิลลิกรัม
11.    จะได้รับไนอะซีนในปริมาณ 2.2 มิลลิกรัม
12.    จะได้รับไธอะมีนในปริมาณ 0.05 มิลลิกรัม
13.    จะได้รับไลโบฟลาวินในปริมาณ 0.02 มิลลิกรัม

ตะไคร้สมุนไทย นอกจากจะใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารแล้ว ยังสามารถประยุกต์ ทำเป็นเครื่องดื่มน้ำตะไคร้ได้อีกด้วย สำหรับการทำเครื่องดื่มน้ำตะไคร้ ใช้ดื่มเพื่อดับกระหาย และยังได้คุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย รายละเอียด การทำน้ำตะไคร้

มะขามมีคุณค่าทางสมุนไพรอย่างไรบ้าง ?


มะขามเป็นสมุนไพรไทย อีกชนิดหนึ่ง ที่มีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยลดอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่ายไม่ดี เมื่อรับประทานมะขามเข้าไป จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างปรกติ นอกจากนี้ ดอกมะขาม ยังเป็นสมุนไพร ที่มีส่วนช่วยในการลดความดันโลหิต ทำให้ความดันปรกติได้อีกด้วย

คุณค่าทางโภชนาการ ที่จะได้รับจากการรับประทานมะขาม ในปริมาณ 100 กรัม
1.       จะได้รับพลังงานเท่ากับ  70 กิโลแคลอรี่
2.       จะได้รับโปรตีนเท่ากับ  2.3 กรัม
3.       จะได้รับคาร์โบไฮเดรตเท่ากับ 14.7 กรัม
4.       จะได้รับไขมันเท่ากับ 0.2 กรัม
5.       จะได้รับเส้นใยอาหารหรือกากใยเท่ากับ  6.3 กรัม
6.       จะได้รับแคลเซียมเท่ากับ  429 มิลลิกรัม
7.       จะได้รับธาตุเหล็กเท่ากับ 3 มิลลิกรัม
8.       จะได้รับฟอสฟอรัสเท่ากับ  14 มิลลิกรัม
9.       จะได้รับไธอะมินเทากับ 0.08 มิลลิกรัม
10.    จะได้รับวิตามินเอเท่ากับ  867 หน่วย
11.    จะได้รับวิตามินซีเท่ากับ  44 มิลลิกรัม
12.    จะได้รับไนอะซีนเท่ากับ 1.5 มิลลิกรัม
13.    จะได้รับไลโบฟลาวินเท่ากับ 0.34 มิลลิกรัม

เนื่องจากในมะขามมีวิตามินซีอยู่ ในปริมาณมากเป็นพิเศษ ดังนั้นการรับประทานมะขามเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการเป็นไข้หวัดได้เป็นอย่างดี ทำให้มีสุขภาพที่ดีได้ และหากท่านเป็นคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่าย มีอาการท้องผูกอยู่เป็นประจำ ลองหันมารับประทานมะขาม หรือลองดื่มน้ำมะขาม จะสามารถช่วยท่านได้ไม่เชื่อลองดูนะค่ะ

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คุณค่าทางสมุนไพรของขิง

ขิงนับได้ว่าเป็นสมุนไพรไทย ที่หาได้อย่างง่ายดาย และขิงยังเป็นสมุนไพร ที่สามารถแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อีกทั้งขิงยังช่วยให้เราเจริญอาหารได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

สำหรับคุณค่าทางสมุนไพรของขิง อีกอย่างหนึ่งก็คือ ขิง มีความสามารถในการขับลมและแก๊สเสียออกจากร่างกายของเรา จึงทำให้รู้สึกได้ถึงความสบายท้อง รู้สึกปลอดโปร่ง ทำให้ไม่อึดอัด นอกจากนี้ ขิง ยังมีสรรพคุณ ช่วยลดอาการคลื่นไส้ อาการปั่นป่วนในท้อง ได้ดีอีกด้วย

คุณค่าทางโภชนาการที่จะได้รับจากการรับประทานขิงในปริมาณ 100 กรัม
  1. จะได้รับพลังงานมากถึง  25 กิโลแคลอรี่
  2. จะได้รับไขมันมากถึง  0.6 กรัม
  3. จะได้รับโปรตีนมากถึง 0.4 กรัม
  4. จะได้รับเส้นใยอาหารหรือกากอาหารมากกว่า  0.8 กรัม
  5. จะได้รับธาตุเหล็กมากถึง  1.2 มิลลิกรัม
  6. จะได้รับแคลเซียมมากถึง 18 มิลลิกรัม
  7. จะได้รับฟอสฟอรัสมากถึง  22 มิลลิกรัม
  8. จะได้รับคาร์โบไฮเดตรมากถึง  4.4 กรัม
  9. จะได้รับวิตามินซีมากถึง 1 มิลลิกรัม
  10. จะได้รับเบต้า-คาโรทีนมากกว่า  10 ไมโครกรัม
  11. จะได้รับไนอะซีนมากกว่า 1 มิลลิกรัม
  12. จะได้รับไธอะมีนมากกว่า  0.02 มิลลิกรัม
  13. จะได้รับไลโบฟลาวินมากกว่า  0.02 มิลลิกรัม
จะเห็นได้ว่าการรับประทานขิงในปริมาณ 100 กรัมเราจะได้คุณค่าทางสารอาหารมากมาย และขอแนะนำว่าหากท่านเป็นคนที่ชอบการดื่มกาแฟ เป็นชีวิตจิตใจ ลองหันมาดื่มน้ำขิง ดูก็ไม่เลวนะค่ะ เพราะนอกจากจะได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนแล้ว แพทย์แผนโบราณยังได้บอกไว้ว่า น้ำขิง ถือเป็นน้ำวิเศษดื่มแล้วจะช่วยทำให้มีสุขภาพที่ดี ทำให้มีอายุยืนยาวขึ้นได้

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เตยหอม มีคุณค่าทางสมุนไพรอย่างไร ?

คุณรู้หรือไม่ว่า เตยหอมนั้น มีสรรพคุณทางยาช่วยบำรุงหัวใจ และยังช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น อีกทั้งเตยหอมยังช่วยทำให้เรารู้สึกหายอ่อนเพลียได้อีกด้วย ดังนั้นเมื่อทำงานเหน็ดเหนื่อยมา หรือออกกำลังกายมาเหนื่อยๆ ขอแนะนำให้ ดื่มน้ำเตยหอมสักแก้ว รับรองได้ว่าจะรู้สึกสดชื่น กระปี้กระเปร่าขึ้นมาทันที

คุณค่าทางโภชนาการของเตยหอม ที่เราจะได้รับในสัดส่วนที่รับประทานหนึ่งร้อยกรัม มีด้งนี้
  1. ได้รับพลังงานมากถึง  35 กิโลแคลอรี่
  2. ได้รับโปรตีนมากถึง  1.9 กรัม
  3. ได้รับไขมันมากถึง  0.8 กรัม
  4. ได้รับกากหรือใยอาหารมากถึง  5.2 กรัม
  5. ได้รับคาร์โบไฮเดรตมากถึง  4.9 กรัม
  6. ได้รับสารเบต้า-แคโรทีนมากถึง  2,987 ไมโครกรัม
  7. ได้รับธาตุเหล็กมากถึง  0.1 มิลลิกรัม
  8. ได้รับแคลเซียมมากถึง  124 มิลิลกรัม
  9. ได้รับฟอสฟอรัสมากถึง  27 มิลลิกรัม
  10. ได้รับวิตามินซีมากถึง  8 มิลลิกรัม
  11. ได้รับไลโบฟลาวินมากถึง  0.2 มิลลิกรัม
  12. ได้รับไนอะซีนมากถึง 1.2 มิลลิกรัม
 จะเห็นได้ว่าการรับประทานเตยหอม ผู้รับประทานจะไดัรับสารอาหารอย่างมากมาย ที่สำคัญนอกจากจะนำเตยหอมมาใช้ในการปรุงอาหาร เนื่องจากเตยหอมจะช่วยทำให้อาหารมีกลิ่งหอมชวนรับประทาน ซึ่งสามารถนำมาปรุงอาหารได้ทั้งอาหารคาว และอาหารหารหวานแล้ว เตยหอมยังสามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่ม ใช้ดื่มเพื่อดับกระหายได้อีกด้วย